บทเรียนราคาแพงของคนต่างด้าวและอพยพใหม่ในอเมริกา*

โดย ทนายความอินโต จำพันธ์**

 

 

    ในเวลาไม่นานมานี้ได้มีโทรศัพท์มาถึงผมมากมาย ว่าทำไมรัฐบาลยังตามดำเนินคดีอาญากับ เขาอยู่ทั้ง ๆ

ที่เจ้าทุกข์ไม่ติดใจเอาความแล้วก็ตาม บางคนยังเข้าใจผิดไปว่าทางรัฐบาลตั้งใจจะหาเรื่อง กับเขาเสียด้วยซ้ำไป

ผมจึงหวังว่าบทความนี้จะช่วยอธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงการดำเนินการของรัฐ ในเรื่องนี้ได้

    ระบบกฏหมายของอเมริกันนั้นแบ่งแยกระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่งอย่างชัดเจน ไม่เหมือนกับ กฏหมายในอีกหลายประเทศ ความแตกต่างระหว่างคดีแพ่งและคดีอาญาที่คนส่วนมากทราบกันเป็นอย่างดีนั้นก็คือ ระบบ การพิสูจน์หลักฐาน (Burden of proof)  ในคดีแพ่งนั้น Plaintiff หรือเจ้าทุกข์ (ผู้ยื่นฟ้อง) จะต้องพิสูจน์หลักฐานของคดีได้มากกว่า  50% จึงจะชนะ ส่วนคดีอาญานั้นทางรัฐบาลจะต้องพิสูจน์หลักฐานของคดีได้โดยไม่มีที่สงสัยอย่างมี เหตุผล (beyond a reasonable doubt)  ยกตัวอย่างเช่นลูกขุนในคดีอาญาของ โอ เจ ซิมป์สัน มีความเห็นว่า รัฐไม่สามารถพิสูจน์ จนไม่มีที่ต้องสงสัยอย่างมีเหตุผลว่า โอ เจ ซิมป์สัน ได้กระทำการฆาตกรรมฉะนั้นเขาจึงไม่ผิด ศาลจึงได้สั่ง ให้ปล่อยตัวจากเรือนจำ แต่ลูกขุนในคดีแพ่งที่ทายาทตามกฏหมายของผู้ตายเป็นผู้ฟ้อง ซิมป์สันนั้น เห็นว่าทายาทตามกฏหมายของผู้ตายได้พิสูจน์หลักฐานเกินกว่า 50 % ของคดี ลูกขุนจึงลง ความเห็นว่าซิมป์สันมีความผิดและต้องจ่ายเงินให้กับทายาทตามกฏหมายของผู้ตาย

ความแตกต่างระหว่างคดี 2 ประเภทนี้ที่ไม่ค่อยจะทราบกันก็คือคู่กรณีที่มีส่วนในคดี โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว คดีอาญาเป็นคดีที่รัฐทำการฟ้องผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ที่ก่ออาชญากรรม ในคดี อาญาส่วนใหญ่รัฐมีวัตถุประสงค์ในการเก็บตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้ในห้องขัง หรือทำการจองจำผู้ถูกกล่าวหา ที่ยังไม่ถูกควบคุมตัว ส่วนคดีแพ่งโดยทั่วไปนั้นเป็นคดีที่ผู้เสียหายทำการฟ้องร้องจำเลยเพื่อเรียกร้อง ค่าชดเชยความเสียหายเป็นเงิน ในบางครั้งทนายความทั่วไปของรัฐอาจเป็นผู้ทำการฟ้องแพ่งในฐานะตัว แทนของประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากกรณีเดียวกันแต่ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย หรือค่าใช้ จ่ายสูงเกินไปถ้าแยกดำเนินคดีเป็นรายย่อยแต่ละราย  เนื่องจากรัฐเป็นผู้เริ่มการฟ้องทางคดีอาญา คดีนั้นก็จะยังคงดำเนินต่อไปถึงแม้ผู้เคราะห์ร้าย ในคดีไม่ต้องการเอาความถ้ารัฐไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ผู้เคราะห์ร้ายเป็นผู้ พิสูจน์คดี ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในไนท์คลับ พบภรรยาของตนกับชายชู้ จึงชักปืน ออกมายิงภรรยาต่อหน้าคนลูกค้าอื่น ๆ ในร้านแต่ยิงไม่ถูก เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ภรรยาและลูกค้า ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชายผู้นั้นถูกจับกุมในข้อหาพยายามฆ่าและถูกนำเข้า ห้องขัง ต่อมาภรรยาเกิดความรู้สึกผิดและต้องการให้สามีได้รับการปล่อยตัวจากห้องขัง เธอจะทำอย่าง ไรได้บ้าง? ทำได้ไม่มากนัก! รัฐอาจไม่เห็นด้วยกับการยกฟ้องคดีเนื่องจากคดีนี้มีพยานอื่นร่วมด้วย (มีลูกค้าอื่น ๆ ในร้านเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์) จะเป็นอย่างไรถ้าชายผู้นี้ยิงภรรยาหลังจากที่ภรรยากลับมาถึงบ้านและไม่มีผู้รู้เห็น? ถ้าภรรยา ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีหลังเกิดเหตุ แต่ต่อมาได้เกิดความรู้สึกผิดและไม่ต้องการดำเนินคดีกับ สามี รัฐอาจออกหมายเรียกให้ภรรยามาให้การเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสามี ถ้าภรรยาปฏิเสธเธออาจถูก ข้อหาหมิ่นประมาทศาลซึ่งเป็นโทษคดีอาญา แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่รัฐจะดำเนินคดีต่อไปโดยไม่ มีหลักฐานอื่น ๆ ประกอบนอกเหนือจากนี้จะเป็นอย่างไรถ้าชายผู้นี้เตะภรรยาตนเองทำให้ภรรยานิ้วหักหลังจากที่เธอกลับมาบ้านโดยที่ไม่ มีผู้รู้เห็นในเหตุการณ์ รัฐอาจดำเนินคดีเพราะมีหลักฐานคือนิ้วที่หักของภรรยาและมีคำให้การที่เธอได้ ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีหลังจากเกิดเหตุ อย่างไรก็ตามปัญหาที่มักจะพบเริ่มจากคู่สมรสโทรศัพท์หาตำรวจและแต่งเรื่องแจ้งความว่าถูก อีกฝ่ายตบตีหลังจากที่ได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง หลังจากตำรวจสอบปากคำแล้วก็นำตัวอีกฝ่ายเข้า ห้องขังภายหลังคู่สมรสที่เป็นผู้แจ้งความเกิดความรู้สึกผิดและอยากถอนคดีแต่ในระหว่างนันอัยการ ได้ยื่นเรื่องส่งฟ้องไปแล้ว ในกรณีนี้คดีนี้ก็อาจจะกลายเป็นบทเรียนราคาแพงของครอบครัวได้ รัฐบาลถือว่าคดีทำร้ายร่างกายในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญมาก ในเมืองใหญ่ ๆ บางเมืองเช่น ลอสแอนเจลิส สำนักงานอัยการมอบหมายให้มีหน่วยงานพิเศษที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในการรับผิดนั้น ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องเข้ารับการอบรมโดยต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่สูงมาก นอกจากนั้นยังต้องเสีย เวลาทำงานรับใช้สังคมและไปรายงานตัวที่ศาลบ่อย ๆ ถึงแม้จะเป็นการรับผิดครั้งแรกก็ตาม รวมทั้งยัง ต้องจ่ายค่าปรับที่แพงและยังต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายของรัฐในการดำเนินคดีนี้ด้วย ถ้าคู่สมรสที่ถูกกล่าวหา ไม่ได้ถือสัญชาติอเมริกันและเคยรับผิดในคดีอื่น ๆ รวมทั้งคดีที่ไม่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ ผู้นั้นอาจถูก เนรเทศได้

 

 

*บทความนี้เป็นบทความทั่วไป และไม่ได้พยายามให้คำแนะนำด้านกฏหมายแก่ผู้อ่าน

หรือพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทนายความและลูกความ

ถ้าต้องการคำแนะนำด้านกฏหมาย ผู้อ่านควรปรึกษาทนายความโดยระบุคำถามให้ชัดเจน